ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ปรากฎตัวครั้งแรกที่กองบังคับการปราบปราม หลังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ในคดีฉ้อโกง ที่ “เจ๊อ้อย” เป็นผู้ออกมาแจ้งความกล่าวหา โดยก่อนหน้านี้ ทนายตั้มเก็บตัวเงียบมานานนับสัปดาห์ โดยบอกว่า ตนไม่ได้หายไปไหน ที่สื่อมวลชนติดต่อไม่ได้ เพราะตนเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หลังถูกสื่อมวลชนสำนักหนึ่งตามไปคุกคามความเป็นส่วนตัวถึงที่บ้าน ซึ่งตนอยู่บ้านมาตลอด ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศตามที่มีข่าว เงินในบัญชีก็ไม่เคยถอนออก ยืนยันในความบริสุทธิ์ และวันนี้สมัครใจเข้าพบพนักงานสอบสวนเอง ไม่ได้มาตามหมายเรียก เพราะรอหมายเรียกมาตลอด ตำรวจก็ไม่ออกหมายเรียกสักที
ทนายตั้ม โผล่กองปราบ แจงคดี เจ๊อ้อย
แต่เมื่อคืนกลับส่งตำรวจมาตามตนไปถึงร้านสะดวกซื้อ ตอนเช้าก็ส่งตำรวจมาอีก 2-3 คันรถ ทั้งที่ตนอยู่บ้านทุกวัน เมื่อตนไปคุยเชิญให้เข้าตรวจค้นบ้านได้ไม่จำเป็นต้องมีหมาย ตำรวจก็ปฏิเสธและเดินทางกลับ ตนรู้สึกไม่สบายใจ จึงมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ข้อมูลเอง ส่วนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีการประสานขอเข้าพบตำรวจ เนื่องจากตนเคยทำหนังสือขอให้ตำรวจสอบปากคำผู้กล่าวหาและพยานให้เต็มที่ก่อน เพื่อให้ตำรวจมีเวลาในการดำเนินการเต็มที่ โดยตนยังขอให้แยกสอบพยานและบันทึกวิดีโอเป็นหลักฐานไว้ด้วย เพื่อป้องกันการซักซ้อมเตรียมคำให้การ แต่ในเมื่อตำรวจตามไปถึงบ้านตน แสดงว่าตำรวจมีเรื่องอยากคุย ตนจึงเดินทางมา
พร้อมกันนี้ทนายตั้มยังได้ชี้แจงปมเงิน 39 ล้านบาท ค่าว่าจ้างศิลปินจีนมาไทยนั้น ความจริงแล้วตรงกันข้ามกับข้อมูลที่มีการนำเสนอมาทุกอย่าง เพราะเรื่องจริงคือ เจ๊อ้อยได้ไปกดไลก์ไอจี “เฉินคุน(นามสมมติ)” ซึ่งเป็นดาราจีนคนหนึ่ง จากนั้นก็มีบุคคลอ้างเป็น “เฉินคุน” ทักข้อความมาตีสนิทกับเจ๊อ้อยนานนับปี
จนเจ๊อ้อยอยากจะให้บุคคลดังกล่าวมาหาที่ไทย และให้ตนช่วยโอนเงินให้อีกฝ่าย ทนายตั้ม โผล่กองปราบ เพราะอีกฝ่ายให้โอนเป็นสกุลเงินดิจิทัล ตนไม่เชี่ยวชาญ จึงให้น้องอีกคน ชื่อ “นุ” เป็นคนดำเนินการให้ แต่เมื่อโอนเงินให้อีกฝ่ายไปแล้ว อีกฝ่ายกลับไม่ยอมมา และให้โอนเงินเพิ่มเป็นค่าบอดี้การ์ด
ตนเริ่มเอะใจว่าอาจเป็นสแกมเมอร์ แต่เจ๊อ้อยยืนยันจะให้โอนอีก ตนจึงต้องยอมโอน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มา ตนลองไปสืบค้นข้อมูล ขอเบอร์จากผู้จัดการดาราชื่อดังของไทย เพื่อประสานงานกับผู้ประสานงานศิลปินจีน ก็ได้รับข้อมูลว่าไม่น่าจะใช่ “เฉินคุน” ตัวจริง เพราะปกติดาราจีนจะไม่มีการทักข้อความหาแฟนคลับลักษณะนี้ และช่วงเวลาที่พูดคุยกัน “เฉินคุน” กำลังฝึกสมาธิอยู่ในป่า ตนจึงพยายามจะให้เจ๊อ้อยพูดคุยกับผู้ประสานงานดาราจีนคนดังกล่าว เพื่อให้เชื่อว่าที่คุยกันนั้นเป็นแสกมเมอร์ ไม่ใช่ “เฉินคุน” จริงๆ แต่เจ๊อ้อยก็ไม่เชื่อ ตนก็ไม่อยากยุ่งแล้ว เจ๊อ้อยจึงไปคุยกันเองและโอนเงินให้เพิ่มอีก
ส่วนปมเงิน 71 ล้านบาท ว่ายังยืนยันในคำเดิมว่าเป็นเงินที่ได้โดยเสน่หา คือได้รับโดยไม่มีสัญญาผูกมัดผูกพัน และหลังสอบปากคำผู้กล่าวหามาหลายวัน ก็เชื่อว่าเรื่องนี้ตำรวจน่าจะพอรู้แล้วว่าข้อเท็จจริงคืออะไร สอดคล้องกันหรือไม่กับหลักฐานที่มีส่วนเรื่องค่าออกแบบต่างๆ นั้น จะเป็นการฉ้อโกงได้อย่างไร ในเมื่อตนรับงานมา ก็ทำใบเสนอราคา และส่งมอบงานทุกโครงการตามสัญญาครบถ้วน
ส่วนกรณีรถที่บอกว่าตนนำไปเข้าไฟแนนซ์ และนำไปปล่อยเช่าให้กลุ่มทุนจีนสีเทานั้น ก็ไม่เป็นความจริง สามารถตรวจสอบเล่มทะเบียนรถได้ว่า รถคันดังกล่าวเป็นชื่อของเจ๊อ้อยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนจะนำไปเข้าไฟแนนซ์และให้ชาวจีนเช่าได้อย่างไร และตลอดเวลาที่ใช้รถคันดังกล่าวก็มีภรรยาของตนประกบติดกับเจ๊อ้อยมาตลอด อีกทั้งตนก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดต้องเอาไปให้กลุ่มทุนจีนเทาเช่าเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามาพบตำรวจในวันนี้ พร้อมจะเผชิญหน้ากับเจ๊อ้อยหรือไม่ ทนายตั้มบอกเพียงว่ายังไม่พร้อมคุย ไม่รู้จะคุยอะไร วันนี้แค่อยากมาพบตำรวจเท่านั้น
รอง หมู” เผยคดีคืบกว่า 80 % – ลุ้นหมายเรียก-หมายจับ เชื่อเจ้าตัวไม่น่าเผ่นออกนอก
รอง ผบช.ก.เผยคดี ทนายตั้ม โผล่กองปราบ “โกง ” พี่อ้อย” 71 ล้าน คืบหน้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว ยันค้นบ้านพักมีประโยชน์ต่อรูปคดีรอพิจารณาออกหมายเรียกหรือหมายจับ เชื่อเจ้าตัวไม่น่าหลบหนีออกนอกประเทศ
วันนี้ ( 4 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าคดี น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย เศรษฐีนี ที่ถูก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม หลอกลวงเงินจำนวน 71 ล้านบาทว่า ขณะนี้มีการสอบปากคำไปแล้วหลายครั้ง ความคืบหน้าภาพรวมอยู่ที่ 80% โดยมีการสืบสวนควบคู่กันไป หากได้หลักฐานพยานต่าง ๆ ก็จะต้องมาพิจารณาว่ามีอะไรที่สอดคล้องกันหรือไม่ และทนายตั้มกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ก็ต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ที่จะนำตัวทนายตั้มเข้าสู่กระบวนการสอบสวนว่าจะเป็นหมายเรียกหรือหมายจับต้องดูพฤติการณ์ข้อหาต่าง ๆ ประกอบ แต่หากหลักฐานใดขัดแย้งหรือมีความไม่ชัดเจน ก็จะเรียกคุณอ้อยมาสอบเพิ่มเติมอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าปมเงิน 71 ล้านบาท ถือว่าสอบชัดเจนแล้วหรือไม่พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าวว่า ขณะนี้มีการสอบชัดเจนไปแล้วบางส่วน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาต่อ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานจากทนายตั้มแต่อย่างใด เรื่องฮอตมาแรง
เมื่อถามว่าที่มีกระแสว่าทนายตั้มจะหนีออกนอกประเทศ รอง ผบช.ก.กล่าวว่า คาดว่าตัวทนายตั้มจะไม่หนี เพราะเห็นออกหน้าสื่ออยู่ตลอด แต่หากมีการออกไปนอกประเทศจริงก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับคดี และในส่วนของกำหนดการออกหมายเรียกหรือหมายจับนั้น ตนขอไม่กำหนดระยะเวลาว่าจะออกวันนี้หรือพรุ่งนี้แต่อย่างใด อยากทำงานให้ละเอียดที่สุด จึงขอเวลาให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนอย่างเคร่งครัด
“สำหรับเรื่องให้เงินด้วยความเสน่หานั้น เป็นเรื่องในสำนวน ยังไม่ขอพูด และในส่วนมีข่าวลือไปค้น ไปตรวจสอบบ้านพักบางจุดที่เกี่ยวข้องกับทนายตั้มนั้น ทางตำรวจก็มีการค้นตามหลักการปกติ ไม่ขอพูดว่าไปค้นที่ใดบ้าง แต่จากการค้น ยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อคดีในการดำเนินการต่อไป” รอง ผบช.ก.กล่าว
ย้อนจุดเริ่มต้น ทนายตั้ม มาดามอ้อย มหากาพย์ทนายตั้มโดนยำรอบทิศ
ทั้งนี้ เรื่องเกิดจากการที่ มาดามอ้อย เศรษฐินีชาวไทยในฝรั่งเศส ได้โอนเงินให้ทนายตั้มกว่า 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท เพื่อให้ทนายตั้มลงทุนในหวยออนไลน์ แต่ปรากฏว่าไม่มีการลงทุนใด ๆ ในเรื่องนี้ มิหนำซ้ำกลับพบว่า ทนายตั้มใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย พักโรงแรม 5 ดาว ซื้อแบรนด์เนมใส่ทั้งตัวเป็นว่าเล่น จนเป็นเหตุให้มาดามอ้อยฉุน ออกมาแฉทนายตั้มยับ ๆ แต่ทนายตั้มบอกว่า เงินที่ได้จากมาดามอ้อยคือให้โดยเสน่หา ไม่มีข้อผูกมัด
หลังจากที่มาดามอ้อยเปิดแล้ว ก็มีคนอื่นเปิดตาม ทั้งคนบนเรืออาทิ แซน ปอ โรเบิร์ต ในคดีแตงโม นิดา ที่พูดถึงการที่ทนายตั้มจะเข้ามาดูแลคดีให้ แต่จะโยนความผิดไปให้แซน ซึ่งเป็นคนที่อยู่กับแตงโม นิดา เป็นคนสุดท้าย แต่คนบนเรือไม่เอาด้วย และจากตอนแรกที่ทนายตั้มจะทำคดีให้คนบนเรือ แต่เมื่อตกลงกันไม่ได้ ทนายตั้มกลับไปรับทำคดีให้คู่ความแทน