จากกรณีที่เฟซบุ๊กเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” โพสต์ข้อความว่า “พรุ่งนี้เช้า “สนธิเล่าเรื่อง” เรียกเเขกว่า นรกเเตก!!! เเน่นอน มีหลาย ๆ คนถามไถ่เข้ามาว่า ยังมีอีกหรือ? ยังไม่หมดอีกหรือ? บอกได้ว่าพรุ่งนี้เช้า 9 โมงตรง เเตกไม่เเตกเดี๋ยวรู้กัน!!! พรุ่งนี้พบกัน เล่าเรื่องทาง Youtube Sondhitalk” นั้น
นรกแตก! สนธิ ลั่น เดินหน้าสุดซอยเอาผิด “ทนายตั้ม”
ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 พ.ย. 67 นาย สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวในรายการ ทางช่องยูทูบ Sondhitalk ตอนหนึ่งว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ตนออกรายการเสร็จแล้ว ตนได้เจอ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย โจทก์ที่ยื่นฟ้องนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง และฟอกเงิน พร้อมกับพี่น้อย ซึ่งเป็นเลขาฯพี่อ้อย และทีมงานของพี่อ้อย รวมถึงทนายปุยที่พี่อ้อยแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมทนายความแทนทนายเล็ก ซึ่งมอบอำนาจให้เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าสมรภูมินั้นเปลี่ยนจากปากช่องมาอยู่ที่สอบสวนกลางเรียบร้อยแล้วก็เลยจำเป็นต้องรบกับหลายฝ่าย
กล่าวว่า โดยพี่อ้อยมาเพื่อมาขอบคุณตน ทีมงาน และสื่อในเครือก่อนจะเดินทางกลับฝรั่งเศส นอกจากนี้พี่อ้อยฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่เกาะติดช่วยกันขุดค้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของทนายตั้มที่กระทำการฉ้อโกงพี่อ้อยจนตำรวจตั้งข้อหาว่า ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน หรือภาษากฎหมายเรียกว่าฉ้อโกงเป็นเป็นปกติธุระ และครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฉ้อโกง แต่เข้าสู่ พ.ร.บ.ฟอกเงิน จนในที่สุดตอนนี้ทั้งทนายตั้มและภรรยาตลอดจนนายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ก็ถูกจำคุกเรียบร้อยแล้ว
เริ่มแรกตนได้มีโอกาสเจอพี่อ้อยครั้งแรกคือ วันที่ 16 ต.ค. 67 ซึ่งพี่อ้อยต้องการที่จะเรียกหนี้คืน จำนวน 71 ล้านบาท และยกเลิกสัญญาทั้งหมดระหว่างทนายตั้ม แต่ทนายตั้มไม่ยอมคืนเงินให้พี่อ้อย จึงใช้ทนายความคือทนายเล็ก แจ้งความที่ อ.ปากช่อง กล่าวหาว่าทนายตั้มฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท รวมถึงเอาข้อความในแชตและสัญญามาให้ตนดู ตอนนี้ผ่านมา 1 เดือน 4 วัน จากเงิน 71 ล้านบาท แตกกระจายไปเป็น 39 ล้านบาท 14.5 ล้านบาท และอีก 9 ล้านบาท ต่างๆมากมายเพิ่มเติมอีกหลายคดี โดยตอนนั้นทนายตั้มไปออกรายการโหนกระแสของ หนุ่ม กรรชัย แล้วก็พูดอย่างโอหังว่าไม่กลัว เพราะนี่คือการให้โดยเสน่หา แต่มันแตกหน่อออกมาเป็นอีกหลายคดี
ตนต้องขอชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม งานนี้ถ้าไม่มีกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเอาทนายตั้มไม่อยู่ เพราะต้องใช้ตำรวจ 100 กว่าคนทำคดีนี้ ในการแยกย้ายไปหาข้อมูลหลักฐาน และนำมาประกอบความจริง เป็นมูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท
นาย สนธิ กล่าวว่า ซึ่งประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวนแต่อยู่ที่พฤติกรรมที่นายษิทธาและพวกได้กระทำมา รวมถึงความพยายามที่จะเอาตัวเองเป็นผู้จัดการมรดกของพี่อ้อย ทำให้กลายเป็นเรื่องขบวนการที่เตรียมการฉ้อโกง ใช้เอกสาร และความรู้จากการที่เป็นทนายมาป้องกันตัวเอง และหลอกลวงพี่อ้อย
ทั้งนี้การเจอกันครั้งล่าสุดระหว่างตนกับพี่อ้อยเป็นการเจอกันครั้งที่ 3 ต่างจากการเจอกันครั้งแรก โดยพี่อ้อยได้เล่าถึงการที่ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกให้พี่อ้อย พอได้เป็นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พยายามชวนพี่อ้อยไปเที่ยวที่ต่างๆ แบบที่ไกลปืนเที่ยง สามารถจะเกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ถ้าสมมุติพี่อ้อยเกิดเสียชีวิตไป นายษิทราก็จะเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งตามกฎหมายมีอำนาจเด็ดขาดเพียงแต่ผู้เดียว สามารถสั่งโอนทรัพย์สินทุกอย่างเข้ามาเป็นชื่อผู้จัดการมรดกได้ แต่โชคดีที่พี่อ้อยไหวตัวทัน โดยในวันศุกร์นี้ ตนจะเอาวิธีการเขียนพินัยกรรมมาให้ดูว่าเลวทรามต่ำช้าอย่างไร
นาย สนธิ กล่าวว่า สรุปแล้วคดีตอนนี้ดำเนินการไปมากเชื่อว่ากว่า 90% แล้ว อีกไม่นานพี่อ้อยกลับไปฝรั่งเศส ตำรวจคงสรุปสำนวนได้เรียบร้อยแล้ว เมื่อสรุปสำนวนเรียบร้อยแล้วก็คงส่งไปให้อัยการพิจารณา ตนเชื่อว่าด้วยสำนวนของตำรวจสอบสวนกลาง และหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดเจนทุกอย่างแล้ว
ที่ผ่านมาทนายตั้มโกงทุกเม็ด ขนาดซื้อรถยังโกงส่วนต่าง แอบติดตั้งสัญญาณจีพีเอส โดยมีประวัติการเข้าล็อกอินเข้าดูจีพีเอสของรถ ซึ่งล่าสุดเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาภรรยาของทนายตั้มยังเข้าไปดูว่ารถเดินทางไปไหน ทำให้พี่อ้อยและพี่น้อยมานึกย้อนดูแล้วก็ขนลุก และระหว่างที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมฉบับที่ 2 ได้มีการชักชวนพี่อ้อยไปเที่ยวแพชื่อดังในเขื่อนรัชชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่เป็นคนใต้ เหมือนกับที่อ้างไปฮ่องกง แต่พี่อ้อยบอกว่าลำบาก ไม่อยากรู้จักกับนักการเมือง ถือว่าบุญกุศลที่พี่อ้อยทำมา เรื่องฮอตมาแรง
เพราะพินัยกรรมฉบับที่ 2 มีปริศนา และมีข้อพิรุธอีกหลายอย่าง โดยทนายตั้มไม่ยอมให้เอาต้นฉบับมาเก็บไว้ที่พี่อ้อย หลังจากที่มีการพินัยกรรมฉบับที่ 3 โดยอ้างว่าเพิกถอน และทำลายพินัยกรรมฉบับก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว พร้อมกันนี้พี่อ้อยยืนยันว่าในพินัยกรรมฉบับที่ 2 เดิมทีเนื้อหาไม่ได้มีรายละเอียดให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เป็นการใส่เอง และไม่ได้ให้คู่สัญญาลงในลงรายละเอียดในทุกหน้ากระดาษ โดยให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้ายเท่านั้น เพราะฉะนั้นพินัยกรรมฉบับที่ 2 ถือเป็นพินัยกรรมปลอมที่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ทำพินัยกรรม ซึ่งเชื่อว่าต้องมีพินัยกรรมอีกหนึ่งฉบับที่ถูกซุกซ่อนไว้อีก และรอการเปิดเผย หากเกิดอะไรขึ้นกับพี่อ้อย
ด้วยเหตุนี้ต้นปี 67 เมื่อรู้ความไม่ชอบมาพากลทั้งหมดจึงได้ยกเลิกพินัยกรรมที่ทนายตั้มดำเนินการทุกฉบับ และไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 โดยพี่อ้อยจัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามารับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป
ทั้งนี้ตนขอเตือนทนายสายหยุด และทนายเดชา ที่ยืนข้างนายษิทธา ว่าทั้งหมดนี้เป็นขบวนการวางแผนฉ้อโกง และสร้างหลักฐาน เผื่อต้องสู้คดีล่วงหน้า ซึ่งประเด็นคดีทนายตั้มกำลังเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นบทเรียนในวิชานิติศาสตร์ต่อไปในอนาคต เพราะเป็นคดีของผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายใช้ความรู้ด้านกฎหมายไปฉ้อโกงลูกความที่แทบจะไม่มีความรู้ทางกฎหมายเลย และใช้กฎหมายฉ้อโกงและเตรียมพยานหลักฐานเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อสู้คดีเมื่อถูกจับได้ นี่คือความร้ายกาจและเป็นคำตอบว่าทำไมทนายตั้มถึงโอหังลามปามว่าไม่ผิด เขาชนะคดีแน่ และมาท้าตนให้กินเยี่ยว 71 แก้ว แต่ทนายตั้มประเมินสถานการณ์ต่ำไป
นอกจากนี้เอกสารสัญญาการจ้างทำแอปพลิเคชันสลากออนไลน์ ทางพี่อ้อยและบริษัทผู้รับว่าจ้างไม่เคยเจอกันแม้แต่ครั้งเดียว โดยทนายตั้มทำตัวเป็นคนกลาง เพื่อให้ตัวเองบริหารจัดการทั้งหมด และสัญญาฉบับนี้ให้บริษัทที่รับจ้างลงนามก่อนจากนั้นก็นำไปให้พี่อ้อยลงนาม และสัญญาฉบับนี้ เมื่อทนายตั้มได้ไฟล์มาแล้วก็ปรับแก้หน้าสุดท้ายของสัญญาว่างเอาไว้มากกว่าครึ่งหน้าด้วยการจงใจ และไม่มีลายเซ็น มีพิรุธหลายอย่าง และให้ทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างลงนามคนละสัญญาแบบแยกแผ่น จงใจใช้ความเจ้าเล่ห์ หากเป็นทนายความที่ซื่อสัตย์เขาจะขอให้ทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อกำกับทั้งล่างทุกแผ่นเอกสาร แต่นี่คือการเตรียมตัวฉ้อโกง และสัญญาฉบับนี้ไม่มีการคืนต้นฉบับและคู่ฉบับให้กับคู่สัญญา ทนายตั้มเก็บทั้งหมดไว้คนเดียว ซึ่งเอกสารนี้ขึ้นศาลเมื่อไหร่เชื่อว่าน็อกคาศาลแน่
“เมื่อวานตอนสามทุ่ม พี่น้อยโทรศัพท์มาหาผมเรื่องที่ทนายสายหยุดบอกว่าจะดำเนินการคืนเงินให้ ผมเลยบอกไปว่า คนตัดสินใจคือพี่อ้อย เพราะเป็นเงินพี่อ้อย แต่พี่อ้อยพูดกับพี่น้อยว่า เรื่องนี้จะมอบอำนาจให้อา ตัดสินใจแต่คนเดียว ไม่ใช่ทนายเล็ก หรือใครทั้งสิ้น ขอให้อา บอกมาว่าจะเอาอย่างไร อ้อยทำตามหมด นี่แหละคือนรกแตก ผมเป็นคนนิสัยเสียอย่างหนึ่ง เวลาตอนเข้าซอยแล้ว เมื่อถึงกลางซอย ผมจะไม่ยอมกลับไป เพราะคิดว่าต้องเดินไปให้สุดซอย โดยพี่อ้อยมอบอำนาจเด็ดขาดให้ผมเพียงแต่ผู้เดียวว่าจะเดินสุดซอยหรือจะให้รับเงินคืน เรื่องของทนายตั้ม ถ้าผมเดินไม่สุดซอย ขอให้ผมมีอันเป็นไปโดยเด็ดขาด”